วันจันทร์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2551

wisdom of crowds (ความฉลาดของกลุ่มคน)




James Surowiecki คอลัมนิสต์ของนิตยสารนิวยอร์กเกอร์เขียนหนังสือ The Wisdom of Crowds : Why the Many Are Smarter than the Few and How Collective Wisdom Shapes Business, Economics and Societies and Nations เมื่อหลายปีก่อนพยายามอธิบายว่า คนกลุ่มใหญ่จะมีความฉลาดโดยรวมแล้วมากกว่าคนฉลาดจริงๆ เพียงไม่กี่คนที่อยู่ในกลุ่ม ซึ่งความฉลาดนี้วัดได้จากความสามารถในการแก้ไขปัญหา การพัฒนานวัตกรรมต่างๆ การตัดสินใจที่ชาญฉลาด หรือแม้แต่การทำนายอนาคต

ในขณะที่ James Surowiecki สรุปว่า ภายใต้สถานการณ์ที่เหมาะสม กลุ่มจะมีความฉลาดอย่างเด่นชัด และบ่อยครั้งที่จะฉลาดกว่าคนที่ฉลาดที่สุดในกลุ่มของพวกเขา กลุ่มโดยรวมไม่จำเป็นต้องถูกบดบังโดยคนที่ฉลาดสุดๆ เพื่อที่จะทำให้กลุ่มฉลาดได้ ถึงแม้ว่า คนส่วนใหญ่ในกลุ่มจะไม่ใช่คนที่รู้มากหรือมีเหตุมีผล แต่พวกเขาทั้งหมดก็ยังสามารถมีการตัดสินใจโดยรวมที่ถูกต้อง (อย่าง ชาญฉลาด) ได้


ในทางเศรษฐศาสตร์ เฮอร์เบิร์ต ไซมอน เรียกมนุษย์ซึ่งไม่ใช่คนที่มีการตัดสินใจที่สมบูรณ์ว่าเป็น "boundedly rational" ซึ่งอธิบายว่าในการตัดสินใจใดๆ มนุษย์มีข้อมูลน้อยกว่าที่เราต้องการ ทำให้เรามีข้อจำกัดในการคาดการณ์อนาคต ทำให้ในการคำนวณผลได้ผลเสียอย่างมีประสิทธิภาพไม่สามารถทำได้อย่างเต็มที่ ซึ่งเราจะเลือกหนทาง ที่ดูดีที่สุด และเรามักจะเอาอารมณ์มามีผลต่อการตัดสินใจใดๆ ด้วย


อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจที่ไม่สมบูรณ์นั้นเมื่อนำมารวมกัน อย่างเหมาะสม ความฉลาดโดยรวมก็จะกลายเป็นความปราดเปรื่องได้ ซึ่ง James Surowiecki เรียกว่าเป็น "wisdom of crowds"


มีคนตั้งข้อสงสัยว่า ความสำเร็จของ Wikipedia ซึ่งผมนำมาพูดถึงในคอลัมน์นี้หลายต่อหลายครั้งนั้น เป็นความสำเร็จที่เกิดจาก 'Wisdom of crowds' ซึ่งเป็นผลกระทบที่คนจำนวนมากมาร่วมกันสร้างบทความเล็กๆ ร่วมกัน หรือเป็นแรงผลักดันของกลุ่มอัจฉริยะเพียงไม่กี่คนที่ร่วมกันทำงาน


ซึ่งเมื่อพิจารณาถึงการแก้ไขข้อมูลใน Wikipedia จะพบว่า จำนวนของคำที่เปลี่ยนแปลงโดยเหล่า Admin (เมื่อเทียบกับจำนวนคำที่เปลี่ยนแปลงโดยทั้งหมด) ก็ค่อยๆ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงแรกไปจนถึงระดับ 50 เปอร์เซ็นต์ก่อนที่จะลดลงจนเหลือ 10 เปอร์เซ็นต์ในท้ายที่สุด


นอกจากนี้ยังพบอีกว่าจำนวนยูสเซอร์ ที่มีจำนวนการแก้ไขหรือส่งบทความไม่กี่บทความมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นจนกลายเป็นส่วนใหญ่ของจำนวนประชากรใน Wikipedia ไปแล้ว นั่นคือ เป็นการเปลี่ยนแปลงของกลุ่ม ผู้ทรงอิทธิพลจากกลุ่ม Admin ที่มีการจัดการ บทความจำนวนมากๆ ไปสู่ยูสเซอร์ทั่วๆ ไปที่มีการจัดการบทความเพียงไม่กี่บทความ


เว็บไซต์อิงสังคมทั้ง Wikipedia และ Digg ซึ่งดูเหมือนจะสร้างชื่อเสียงขึ้นมาจากการเป็นเว็บที่เน้นความเป็นประชาธิปไตยหรือเสียงส่วนมากเป็นหลัก โดยเป็นเว็บที่ผู้ใช้ งานจำนวนหลายล้านคนจะทำหน้าที่เป็นทั้ง คนเขียน บรรณาธิการ และผู้ให้คะแนนนั้น มีคนจำนวนไม่กี่คนเป็นผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จทั้งหมด ซึ่งงานวิจัยเรื่อง "Power of the Few vs. Wisdom of the Crowd" กล่าวไว้ว่า 1 เปอร์เซ็นต์ของผู้ใช้ Wikipedia จะรับผิดชอบดูแลครึ่งหนึ่งของข้อมูลบนเว็บไซต์ ทั้งหมด นอกจากนี้ยังมีกลุ่มคนที่เรียกว่า 'bot' ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่มาทำหน้าที่ในการควบคุมมาตรฐาน การควบคุมพฤติกรรมของผู้ใช้ และ การควบคุมความสงบเรียบร้อยของเว็บ


เว็บไซต์อย่าง Digg.com ซึ่งเป็นเว็บประเภท Web 2.0 เหมือนกัน โดย Digg เป็นศูนย์กลางของบุ๊คมาร์ค (Bookmark) ไปยังเรื่องราวต่างๆ ที่น่าสนใจโดยผู้คนจะเข้ามาส่ง เรื่องราวและให้คะแนนเรื่องราวของคนอื่นๆ โดยลิงค์ที่ได้รับความนิยมสูงสุดจะปรากฏอยู่ที่หน้าแรกของเว็บไซต์ โดยจะมีอัลกอริทึมในการจัดการว่าจะให้เรื่องไหนขึ้นหน้าหนึ่ง ซึ่งอัลกอริทึมนี้จะเปลี่ยนอยู่เรื่อยๆ ซึ่งอัลกอริทึมนี้ดูจะเป็นที่ชื่นชอบของผู้ใช้งานที่เข้ามาใช้งานอยู่เป็นประจำ โดยพบว่า ผู้เข้ามาเขียน เรื่องราวใน Digg.com ซึ่งเรียกว่า Digger จะส่งเรื่องราวประมาณ 44 เปอร์เซ็นต์ของเรื่องราวที่เป็นที่นิยมทั้งหมด ในปี 2006 คนกลุ่มนี้มีบทบาทเพิ่มขึ้นเป็น 56 เปอร์เซ็นต์


อย่างไรก็ตาม ทั้ง Wikipedia และ Digg.com ต่างก็มีความเป็นประชาธิปไตยใน บางแง่มุม โดยเฉพาะการเลือกกลุ่มคนที่มามีอิทธิพลในแต่ละเว็บไซต์ก็ไม่ได้เกิดจากการคัดเลือกของบอร์ดบริหาร แต่เป็นคนที่มีส่วนเข้ามาใช้งานเว็บนั้นๆ บ่อยครั้งมากกว่า


นอกจากนี้ Ed Chi แกนนำงานวิจัย Power of the Few vs. Wisdom of the Crowd ยังพบว่า เหล่าผู้มีอิทธิพลกลุ่มนี้ยังทำหน้าที่ในการลบข้อความในเนื้อหาเป็นส่วนใหญ่เสียด้วยซ้ำ โดยกลุ่มคนที่เขียนหรือแก้ไขบทความ 10,000 บทความขึ้นไปจะเพิ่มคำประมาณสองเท่าของคำที่พวกเขาลบทิ้งไป ในขณะที่คนที่เขียนหรือแก้ไขบทความ 100 บทความจะลบคำมากกว่าที่พวกเขาใส่เข้าไป นั่นคือ คนจำนวนเล็กน้อยทำหน้าที่เขียนบทความในขณะที่คนที่ใช้เว็บไซต์น้อยกว่าจะทำหน้าที่แก้คำผิด


นี่อาจจะเป็นพัฒนาการในลักษณ์เดียว กับอินเทอร์เน็ตที่เริ่มต้นจากคนกลุ่มเล็กๆ ก่อนที่จะทำให้มันขยายเติบโตกว้างไกลด้วยการบอกต่อและใช้งานกันอย่างกว้างขวาง และขณะนี้กลไกนี้ก็กำลังจะมาทำให้เว็บไซต์แต่ละเว็บกลายเป็นอินเทอร์เน็ตหรือเครือข่ายย่อยๆ ในเครือข่ายยักษ์ใหญ่ที่มีระบบการปกครองและดูแลตัวเอง มีพัฒนาการและการเลี้ยงดูตัวเอง


นี่อาจจะกลายเป็นแรงผลักสำคัญที่ทำให้ระบบการปกครองแบบประชาธิปไตยเติบโตขึ้นในประเทศเผด็จการได้ โดยอาศัยศักยภาพของอินเทอร์เน็ตและชุมชนย่อยๆ ที่วางบนเครือข่ายความสัมพันธ์เหล่านี้


Wisdom of the Crowds กำลังจะมาเปลี่ยนโฉมหน้าการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมของโลกเราแล้ว เร็วๆ นี้




อ้างอิงจาก


http://www.gotomanager.com/news/details.aspx?id=68291

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น