วันอังคารที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2551

เทคโนโลยี Web 2.0 คืออะไร

in Information Technology Web 2.0
มีคนถามกันหนาหู ว่า Web 2.0 จริงๆ คืออะไรกันแน่ ... มีหลายคนพยายามอธิบายตามความเข้าใจของตัวเอง และสิ่งที่ตัวเองพบเห็นบ่อย ว่า Web 2.0 คืออะไรกันแน่ ...
พวกที่อยู่กับ abstraction และ concept (พวกที่มี MBTI type เป็น N เช่น ENTP, INTJ ฯลฯ) หรือว่าพวกที่ชีวิตอยู่กับ Social network เสียเป็นส่วนมาก ไม่ว่าจะเป็น blog, media sharing จะบอกว่า Web 2.0 คือ Social network ที่เน้นการแบ่งปัน การแชร์กัน ของสิ่งที่ตัวเองมี พระเอกของรายการก็คงไม่พ้น Flickr, YouTube และอื่นๆ ที่เราใช้กันมากมายอยู่แล้ว
พวกที่อยู่กับรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส (พวกที่มี MBTI type เป็น S เช่น ISFJ, ESTP ฯลฯ) หรือว่าพวกที่เห็นหน้าของเว็บแอพพลิเคชั่น อาจจะมองเห็นความลื่นไหลของ AJAX experience ก่อนอย่างอื่น และคิดว่า Web 2.0 จะเป็นเรื่องของ Rich-client ทีมี experience ของการใช้โปรแกรมผ่าน Web ได้ใกล้เคียง หรือไม่ต่างกันกับ Desktop application มากยิ่งขึ้น ซึ่งพระเอกของรายการก็คงเป็นบรรดา Software suites ทั้งหลายทั้งแหล่ ที่อพยพตัวเองขึ้นไปบน Web มากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็น Office suite หรือว่า Image processing
นั่นคือ กลุ่มหนึ่งอาจจะมองว่า Web 2.0 คือ Social network ใน Digital culture (วัฒนธรรมดิจิทัล) มาก่อน แล้วเรื่องของ Rich-client application เป็นสิ่งที่ตามมา ในขณะที่อีกกลุ่มจะมองกลับกัน ว่ามันคือเรื่องที่ application อพยพกันไปอยู่บน Web อาศัย AJAX มาทำลาย gap ของ user experience ระหว่าง Web application กับ Desktop application จากนั้นการทำงานร่วมกันทั่วโลกเป็นสิ่งที่ตามมา
แต่ว่าจริงๆ แล้ว Web 2.0 มันคืออะไรกันแน่
วันนี้ผมคงจะไม่พูดอธิบาย+สาธยายยืดยาวหรอกนะครับ แต่ว่าจะเอา "คำจำกัดความ" ที่คิดว่าเข้าท่าจาก What is Web 2.0 จาก Web 2.0 Explorer ที่ ZDNet มาฝาก ซึ่งพวกนี้รวมๆ กันแล้ว ก็เป็นคำจำกัดความของ Web 2.0 ที่ถือได้ว่าครบถ้วนกระบวนความเหมือนกัน และไม่ยืดยาวเยิ่นเย้อจนเกินงามด้วย (ซึ่งตัวที่ผมชอบเป็นพิเศษ ผมได้ทำเป็นตัวหนาไว้นะครับ)
· Web 2.0 = the web as platform
· Web 2.0 = the underlying philosophy of relinquishing control
· Web 2.0 = glocalization (ไม่ได้สะกดผิดนะครับ คนเขียนตั้งใจสะกดแบบนี้ โดยเค้านิยามว่ามันคือ "making global information available to local social contexts and giving people the flexibility to find, organize, share and create information in a locally meaningful fashion that is globally accessible")
· Web 2.0 = an attitude not a technology
· Web 2.0 = when data, interface and metadata no longer need to go hand in hand
· Web 2.0 = action-at-a-distance interactions and ad hoc integration
· Web 2.0 = power and control via APIs
· Web 2.0 = giving up control and setting the data free
สำหรับผมแล้ว Web 2.0 ไม่ใช่ข้อใดข้อหนึ่งจาก list ด้านบนนี้ แต่ว่าเป็นทุกอย่างในด้านบนนี้รวมกัน
แต่ว่าสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด สำหรับการขับเคลื่อนสังคมและวัฒนธรรมยุคดิจิทัล ผ่าน Web 2.0 ก็คือ "ทัศนคติ" ครับ ซึ่งทำให้ผมอยากจะเน้นว่า มันคือ Attitude ไม่ใช่ Technology (ตัวหนึ่งที่ทำตัวหนาไว้) ของการเป็นองค์กรการเรียนรู้ (Learning Organization) ขนาดใหญ่ของทุกคนที่ใช้ Web ทำให้เกิดการต่อยอดความรู้และความคิด นำไปสู่การปฏิบัติจริง และนำมาซึ่งองค์ความรู้ (Knowledge) จริง โดยอาศัย Web เป็น platform ที่ทำให้ทุกอย่างมันเกิดขึ้นได้
องค์ความรู้ ยิ่งใช้ ยิ่งเพิ่มขึ้นครับ ไม่เหมือนกับทรัพยากรธรรมชาติที่ยิ่งใช้ยิ่งหมดลง เพราะองค์ความรู้นั้นใช้โดยการสร้างองค์ความรู้ใหม่ ปฏิบัติให้รู้แจ้งเห็นจริง และเกิด skill กับมือ กับความคิด กับตัวเอง และอีกวิธีหนึ่งในการใช้องค์ความรู้ ก็คือ การแบ่งปันกัน นั่นเองครับ
อ้างอิงจาก
http://mfatix.com/home/node/113

วันจันทร์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2551

Semantic Web คืออะไร

Semantic Web คืออะไร
ลักษณะ ที่เรียกว่า Semantic Web คือ เทคโนโลยีที่ใช้ในการ จัดเก็บ และ นำเสนอเนื้อหาแบบมีโครงสร้าง รวมถึง สามารถที่จะ วิเคราะห์ จำแนก หรือจัดแบ่งได้ว่า ข้อมูลที่ปรากฏนั้น มีความสัมพันธ์ กับข้อมูลอื่นๆในแต่ละระดับ อย่างไร กล่าวคือ เป็นการจัดเก็บและนำเสนอ แบบมี Hierarchy นั่นเอง
ประเด็นหลักที่ทำให้เกิดการพัฒนา Semantic Web ก็คือ สาเหตุ จากการที่ Web ในปัจจุบันที่บางคนเรียกว่า เป็น Syntactic หรือ Hypermedia Web มีปัญหาในเรื่องของ Information overload เพราะว่าข้อมูลที่เราสืบค้นมาได้นั้น ผลลัพธ์ที่ได้ ไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ และ ไม่สะดวกในการที่จะนำไปใช้ต่อ เพราะการค้นหา ด้วย Keyword ทั่วๆไป Machines ไม่สามารถทำความเข้าใจ และ ประมวลความหมาย หรือความสัมพันธ์ของคำนั้นๆได้อย่างตรงประเด็น ผลของการสืบค้นที่ได้กลับมา จึงเป็นการ Return ทุกๆเรื่องที่มีคำๆนั้น และสร้าง Hyperlink เพื่อให้เราเชื่อมโยงไปยังข้อมูล โดย เราไม่รู้ว่า นั่นคือคำที่อยู่ในเรื่องซึ่งเราต้องการหรือไม่
แนวทางของ Semantic Web ที่ช่วยแก้ปัญหาดังกล่าว ก็คือ Semantic Web มีการ Provide Common framework ซึ่งทำให้ข้อมูล สามารถ share และ reused ข้าม Application หรือ Community ที่มีการระบุขอบเขต ได้ โดยที่ Machines สามารถเข้าใจองค์ประกอบของข้อมูลซึ่งมีการแนบ Domain theory (เช่น รูปแบบของการอ้างอิง Class แม่ ของข้อมูล) รูปแบบนี้ เราอาจเรียกว่าเป็น Ontology ซึ่งสามารถบอกระดับความสัมพันธ์ของข้อมูลได้
Semantic ในระดับของผู้ใช้ มีดังนี้
  1. Interest networking
  2. Semantic social networking
  3. Semantic bookmarks
  4. Semantic search & QA
  5. Semantic desktop / webtop
  6. Semantic blogs, wikis
  7. Semantic identity management
  8. Semantic mobility
  9. Semantic email & IM
  10. Reality browsing, avatars, & context-aware games

Semantic ในระดับขององค์กร มีดังนี้

  1. Information sharing
  2. Semantic search, discovery, & navigation
  3. Semantic mashups and composite applications
  4. Semantic infrastructure / middleware SSOA, SBPM, SWS, virtualization, policy-based computing
  5. Semantic business intelligence
  6. Semantic ERP applications CRM, PLM, SCM, HRM
  7. Semantic governance, compliance, & risk
  8. Semantic web sites, wikis, collaboration, interest networking, & collective knowledge systems
  9. Semantic advertising, marketing, personalization, & customization
  10. Intelligent systems knowledge-based research, design, engineering, simulation, planning, scheduling, optimization, & decision support

Semantic Web นี้จะประกอบด้วยข้อมูลที่สามารถอ่านได้โดยคนและยังสามารถประมวลผลอัตโนมัติได้โดยเครื่องคอมพิวเตอร์ทำให้ข้อมูลต่างๆ ในเว็บมีความหมายที่ชัดเจนและสามารถเพิ่มประสิทธิภาพของการใช้เว็บ

เว็บแห่งอนาคต จะประกอบด้วย

· XML สำหรับ Define โครงสร้างของ Application ตอนนี้มี XUL, XAML เป็นตัวเก็ง
· XHTML ที่ใช้ในเว็บเพจ (แยกกันดีๆ ระหว่าง เว็บเพจ กับเว็บแอพพลิเคชั่น)
· JavaScript (ชื่ออย่างเป็นทางการคือ ECMAScript) สำหรับเขียนส่วนที่เป็นโปรแกรมมิ่ง
· XML สำหรับตัว Data จริงๆ ที่วิ่งกันไปมา
· XSLT สำหรับการ Transform เอกสาร XML ข้อตะกี้ให้เหมาะสมกับ Device และ CSS สำหรับการตกแต่งหน้าตา
· SVG รูปภาพแบบเวคเตอร์ที่จะเข้ามาแทน GIF/JPEG/PNG อันนี้ Adobe กำลังผลักดันอยู่เต็มตัว
· XForms ฟอร์มในเพจชนิดใหม่ ที่ไม่ต้องใช้ Javascript ในการ validate อีกต่อไป และเป็นการแบ่งแยก Data layer ออกจาก Presentation (HTML) เหมือนที่เราเคยแบ่ง CSS (Presentation) ออกมาจาก HTML มารอบนึงแล้ว XForms ยังไม่ค่อยได้รับการอิมพลีเมนต์มากนัก แต่ Mozilla และ OO.o[pdf] กำลังพัฒนากันอยู่
· SMIL (อ่านว่า สไมล์) เป็นเฟรมเวิร์คสำหรับมัลติมีเดียในเว็บในอนาคต ทุกอย่างจะมารวมกันใต้ Compound Document Formats (CDF) ซึ่งเป็นฟอร์แมตเอกสารในอนาคต มันจะไม่โผล่ออกมาจริงๆ แต่จะแผงตัวไปกับเอกสารทุกชนิดในโลก เช่น Latex, PDF

อ้างอิง น้องปู(e-com07)

วันจันทร์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2551

wisdom of crowds (ความฉลาดของกลุ่มคน)




James Surowiecki คอลัมนิสต์ของนิตยสารนิวยอร์กเกอร์เขียนหนังสือ The Wisdom of Crowds : Why the Many Are Smarter than the Few and How Collective Wisdom Shapes Business, Economics and Societies and Nations เมื่อหลายปีก่อนพยายามอธิบายว่า คนกลุ่มใหญ่จะมีความฉลาดโดยรวมแล้วมากกว่าคนฉลาดจริงๆ เพียงไม่กี่คนที่อยู่ในกลุ่ม ซึ่งความฉลาดนี้วัดได้จากความสามารถในการแก้ไขปัญหา การพัฒนานวัตกรรมต่างๆ การตัดสินใจที่ชาญฉลาด หรือแม้แต่การทำนายอนาคต

ในขณะที่ James Surowiecki สรุปว่า ภายใต้สถานการณ์ที่เหมาะสม กลุ่มจะมีความฉลาดอย่างเด่นชัด และบ่อยครั้งที่จะฉลาดกว่าคนที่ฉลาดที่สุดในกลุ่มของพวกเขา กลุ่มโดยรวมไม่จำเป็นต้องถูกบดบังโดยคนที่ฉลาดสุดๆ เพื่อที่จะทำให้กลุ่มฉลาดได้ ถึงแม้ว่า คนส่วนใหญ่ในกลุ่มจะไม่ใช่คนที่รู้มากหรือมีเหตุมีผล แต่พวกเขาทั้งหมดก็ยังสามารถมีการตัดสินใจโดยรวมที่ถูกต้อง (อย่าง ชาญฉลาด) ได้


ในทางเศรษฐศาสตร์ เฮอร์เบิร์ต ไซมอน เรียกมนุษย์ซึ่งไม่ใช่คนที่มีการตัดสินใจที่สมบูรณ์ว่าเป็น "boundedly rational" ซึ่งอธิบายว่าในการตัดสินใจใดๆ มนุษย์มีข้อมูลน้อยกว่าที่เราต้องการ ทำให้เรามีข้อจำกัดในการคาดการณ์อนาคต ทำให้ในการคำนวณผลได้ผลเสียอย่างมีประสิทธิภาพไม่สามารถทำได้อย่างเต็มที่ ซึ่งเราจะเลือกหนทาง ที่ดูดีที่สุด และเรามักจะเอาอารมณ์มามีผลต่อการตัดสินใจใดๆ ด้วย


อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจที่ไม่สมบูรณ์นั้นเมื่อนำมารวมกัน อย่างเหมาะสม ความฉลาดโดยรวมก็จะกลายเป็นความปราดเปรื่องได้ ซึ่ง James Surowiecki เรียกว่าเป็น "wisdom of crowds"


มีคนตั้งข้อสงสัยว่า ความสำเร็จของ Wikipedia ซึ่งผมนำมาพูดถึงในคอลัมน์นี้หลายต่อหลายครั้งนั้น เป็นความสำเร็จที่เกิดจาก 'Wisdom of crowds' ซึ่งเป็นผลกระทบที่คนจำนวนมากมาร่วมกันสร้างบทความเล็กๆ ร่วมกัน หรือเป็นแรงผลักดันของกลุ่มอัจฉริยะเพียงไม่กี่คนที่ร่วมกันทำงาน


ซึ่งเมื่อพิจารณาถึงการแก้ไขข้อมูลใน Wikipedia จะพบว่า จำนวนของคำที่เปลี่ยนแปลงโดยเหล่า Admin (เมื่อเทียบกับจำนวนคำที่เปลี่ยนแปลงโดยทั้งหมด) ก็ค่อยๆ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงแรกไปจนถึงระดับ 50 เปอร์เซ็นต์ก่อนที่จะลดลงจนเหลือ 10 เปอร์เซ็นต์ในท้ายที่สุด


นอกจากนี้ยังพบอีกว่าจำนวนยูสเซอร์ ที่มีจำนวนการแก้ไขหรือส่งบทความไม่กี่บทความมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นจนกลายเป็นส่วนใหญ่ของจำนวนประชากรใน Wikipedia ไปแล้ว นั่นคือ เป็นการเปลี่ยนแปลงของกลุ่ม ผู้ทรงอิทธิพลจากกลุ่ม Admin ที่มีการจัดการ บทความจำนวนมากๆ ไปสู่ยูสเซอร์ทั่วๆ ไปที่มีการจัดการบทความเพียงไม่กี่บทความ


เว็บไซต์อิงสังคมทั้ง Wikipedia และ Digg ซึ่งดูเหมือนจะสร้างชื่อเสียงขึ้นมาจากการเป็นเว็บที่เน้นความเป็นประชาธิปไตยหรือเสียงส่วนมากเป็นหลัก โดยเป็นเว็บที่ผู้ใช้ งานจำนวนหลายล้านคนจะทำหน้าที่เป็นทั้ง คนเขียน บรรณาธิการ และผู้ให้คะแนนนั้น มีคนจำนวนไม่กี่คนเป็นผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จทั้งหมด ซึ่งงานวิจัยเรื่อง "Power of the Few vs. Wisdom of the Crowd" กล่าวไว้ว่า 1 เปอร์เซ็นต์ของผู้ใช้ Wikipedia จะรับผิดชอบดูแลครึ่งหนึ่งของข้อมูลบนเว็บไซต์ ทั้งหมด นอกจากนี้ยังมีกลุ่มคนที่เรียกว่า 'bot' ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่มาทำหน้าที่ในการควบคุมมาตรฐาน การควบคุมพฤติกรรมของผู้ใช้ และ การควบคุมความสงบเรียบร้อยของเว็บ


เว็บไซต์อย่าง Digg.com ซึ่งเป็นเว็บประเภท Web 2.0 เหมือนกัน โดย Digg เป็นศูนย์กลางของบุ๊คมาร์ค (Bookmark) ไปยังเรื่องราวต่างๆ ที่น่าสนใจโดยผู้คนจะเข้ามาส่ง เรื่องราวและให้คะแนนเรื่องราวของคนอื่นๆ โดยลิงค์ที่ได้รับความนิยมสูงสุดจะปรากฏอยู่ที่หน้าแรกของเว็บไซต์ โดยจะมีอัลกอริทึมในการจัดการว่าจะให้เรื่องไหนขึ้นหน้าหนึ่ง ซึ่งอัลกอริทึมนี้จะเปลี่ยนอยู่เรื่อยๆ ซึ่งอัลกอริทึมนี้ดูจะเป็นที่ชื่นชอบของผู้ใช้งานที่เข้ามาใช้งานอยู่เป็นประจำ โดยพบว่า ผู้เข้ามาเขียน เรื่องราวใน Digg.com ซึ่งเรียกว่า Digger จะส่งเรื่องราวประมาณ 44 เปอร์เซ็นต์ของเรื่องราวที่เป็นที่นิยมทั้งหมด ในปี 2006 คนกลุ่มนี้มีบทบาทเพิ่มขึ้นเป็น 56 เปอร์เซ็นต์


อย่างไรก็ตาม ทั้ง Wikipedia และ Digg.com ต่างก็มีความเป็นประชาธิปไตยใน บางแง่มุม โดยเฉพาะการเลือกกลุ่มคนที่มามีอิทธิพลในแต่ละเว็บไซต์ก็ไม่ได้เกิดจากการคัดเลือกของบอร์ดบริหาร แต่เป็นคนที่มีส่วนเข้ามาใช้งานเว็บนั้นๆ บ่อยครั้งมากกว่า


นอกจากนี้ Ed Chi แกนนำงานวิจัย Power of the Few vs. Wisdom of the Crowd ยังพบว่า เหล่าผู้มีอิทธิพลกลุ่มนี้ยังทำหน้าที่ในการลบข้อความในเนื้อหาเป็นส่วนใหญ่เสียด้วยซ้ำ โดยกลุ่มคนที่เขียนหรือแก้ไขบทความ 10,000 บทความขึ้นไปจะเพิ่มคำประมาณสองเท่าของคำที่พวกเขาลบทิ้งไป ในขณะที่คนที่เขียนหรือแก้ไขบทความ 100 บทความจะลบคำมากกว่าที่พวกเขาใส่เข้าไป นั่นคือ คนจำนวนเล็กน้อยทำหน้าที่เขียนบทความในขณะที่คนที่ใช้เว็บไซต์น้อยกว่าจะทำหน้าที่แก้คำผิด


นี่อาจจะเป็นพัฒนาการในลักษณ์เดียว กับอินเทอร์เน็ตที่เริ่มต้นจากคนกลุ่มเล็กๆ ก่อนที่จะทำให้มันขยายเติบโตกว้างไกลด้วยการบอกต่อและใช้งานกันอย่างกว้างขวาง และขณะนี้กลไกนี้ก็กำลังจะมาทำให้เว็บไซต์แต่ละเว็บกลายเป็นอินเทอร์เน็ตหรือเครือข่ายย่อยๆ ในเครือข่ายยักษ์ใหญ่ที่มีระบบการปกครองและดูแลตัวเอง มีพัฒนาการและการเลี้ยงดูตัวเอง


นี่อาจจะกลายเป็นแรงผลักสำคัญที่ทำให้ระบบการปกครองแบบประชาธิปไตยเติบโตขึ้นในประเทศเผด็จการได้ โดยอาศัยศักยภาพของอินเทอร์เน็ตและชุมชนย่อยๆ ที่วางบนเครือข่ายความสัมพันธ์เหล่านี้


Wisdom of the Crowds กำลังจะมาเปลี่ยนโฉมหน้าการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมของโลกเราแล้ว เร็วๆ นี้




อ้างอิงจาก


http://www.gotomanager.com/news/details.aspx?id=68291